วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แนวทางในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต


แนวทางในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต

1. ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคตมี วัตถุประสงค์กี่ประการอะไรบ้าง
      
         ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคตมีวัตถุประสงค์อยู่ 4 ประการ 
1. ตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้เพื่อทักษะแห่งอนาคตใหม่ในศตวรรษที่ 21
2. ตอบสนองความทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตร และสาระการเรียนรู้
4. ตอบสนองการเรียนรู้รายบุคคลบนโลกสังคมออนไลน

2. ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คืออะไร 

           ศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ช่วงเวลาปี ค.ศ.2001-2100 ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สังคม วัฒนธรรม ส่งผลให้การจัดการเรียนรู้จึงได้รับผลกระทบ 
           ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ ความสามารถ สมรรถนะที่ต้องมีในแต่ละบุคคลเพื่อให้สามารถปรับตัว และด าเนินชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในช่วงปี ค.ศ.2001-2100 

3. บทบาทของผู้สอนยุคใหม่ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เป็นอย่างไร 
            
              มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงจากผู้เรียนก่อให้เกิดทักษะในการแสวงหาความรู้
1.ผู้คอยชี้แนะ และกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ด้วยตนเอง
2.เสนอแนะแนวทางให้ค้นคว้าหาความรู้
3.อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้ออกแบบและนำเสนอความรู้อย่างสร้างสรรค์
4.สร้างแนวทาง และชี้แนะให้ผู้เรียนวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
5.ประเมินจากสภาพจริง และผลงานจากปฏิบัติ
6.สวมบทบาทเป็นพี่เลี้ยงที่คอยอำนวยความสะดวกมาให้
7.กำหนดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและยืดหยุ่นในการเรียนรู้ตามขอบเขตที่กำหนดไว้
8.ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
9.เสนอแนะให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแสวงหาความรู้

4. เทคนิควิธีการสอนแบบโครงงานในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มีกี่ประเภทอะไรบ้าง

             ประเภทของวิธีสอนแบบโครงงาน มี 3 ประเภท ได้แก่
1. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหาสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ กล่าวคือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายโดยกิจกรรมต่าง ๆ ผู้สอนนั้นต้องวางแผนให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ ทัศนคติ ค่านิยม ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

2. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามความสนใจของผู้เรียน กล่าวคือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนนั้นเป็นผู้วางแผน และระดมสมองเพื่อกาหนดขั้นตอนการทาโครงงานของผู้เรียนโดยที่ผู้เรียนนั้นทาตามความต้องการ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือเป็นการบูรณาการทักษะ ความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

3. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผสมผสานบูรณาการแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อื่น ๆ และเทคโนโลยีการศึกษา กล่าวคือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้นาหลักการแนวคิดทฤษฎีการศึกษา การเรียนรู้ และเทคโนโลยีการศึกษา เช่น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการนาตนเอง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามแนวคิดจิตตปัญญา การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เป็นต้น


วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้


การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้


1.   วิธีการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

             1. ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ หรือโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) คือโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศและปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลสารสนเทศดัง
กล่าวซึ่งได้มีการจัดระบบในการให้บริการบนเว็บไซต์ซึ่งอาจจะมีการออกแบบและเขียนเว็บไซต์ดัง
กล่าวด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น ภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) ภาษา CSS 
(ย่อมาจาก Cascading Style Sheets) หรือภาษา XHTML (ย่อมาจาก Extensible HyperText Markup 
Language) เป็นต้น ส าหรับโปรแกรม Web Browser ที่ได้รับความนิยมทั้งในอดีตและในปัจจุบัน เช่น 
Internet Explorer Mozilla Firefox และ Google Chrome เป็นต้น


                    2. ใช้โปรแกรมช่วยในการสืบค้นข้อมูล (Search Engine) หรือทับศัพท์ เสิร์ชเอนจินซึ่ง
เป็นโปรแกรมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบเว็บไซต์
ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ข้อมูลที่ต้องการค้นหา ซึ่งผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศได้ทั้งข้อความ 
รูปภาพ สื่อมัลติมิเดีย ภาพเคลื่อนไหว วีดิโอ หรือข้อมูลสารสนเทศอื่น ๆ ตัวอย่างโปรแกรมช่วยในการ
สืบค้นข้อมูลที่ให้บริการ ได้แก่ http://www.google.com นิยมมากที่สุด, http://www.yahoo.com, 
http://www.bing.com, http://www.altavista.com/, http://www.thaifind.com/, 
http://www.ixquick.com/ , http://www.thaiseek.com/, http://www.thaiall.com/, 
http://www.lycos.com/, http://www.excite.com/ เป็นต้น
                   ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ http://www.google.com เนื่องจากเป็น
เว็บไซต์ที่มีฐานข้อมูลที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลก

2.URL คืออะไร มีประโยชน์อย่่างไรกับ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

                  URL ย่อมาจากคำว่า Uniform Resource Locator คือ ที่อยู่ (Address) ของข้อมูลต่างๆใน Internet เช่น ที่อยู่ของไฟล์หรือเว็บไซต์บนอินเตอร์เน็ต

                 เว็บบไซต์ที่สร้างขึ้นมานั้นจะจัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW) โดยผู้ใช้สามารถระบุที่อยู่ของทรัพยากรบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า URLs (Uniform Resource Locators) ซึ่งมีส่วน
ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 
         1  โปรโตคอล ( Protocal) คือ แหล่งที่อยู่ของทรัพยากรซึ่งโปรโตคอลพื้นฐาน
ส าหรับโปรแกรมค้นดูเว็บ คือ http
        2 ชื่อโดเมน (Domain name) คือ ชื่อที่ใช้เรียกเพื่อระบุลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ 
เพื่อไปค้นหาในระบบ เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส (IP-Address) ของชื่อดังกล่าว 

 3. หลักการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของแหล่งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง

                 1. วัตถุประสงค์ความต้องการในการน าข้อมูลสารสนเทศไปใช้ประกอบด้วย
                        1.1 ผู้ใช้ต้องวิเคราะห์ความต้องการของตนในการน าข้อมูลสารสนเทศไปใช้
                        1.2 ผู้ใช้แยกแยะประเด็น และเลือกหัวข้อที่ต้องการสืบค้น
                 2. พิจารณาด้านคุณภาพเว็บไซต์ที่ใช้ในการเผยแพร่ ได้แก่
                        2.1 ข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ใน
เว็บไซต์หรือไม่
                        2.2 ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวนั้นเป็นสาระเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ใน
การสร้าง หรือเผยแพร่ข้อมูลของเว็บไซต์หรือไม่
                        2.3 เว็บไซต์ดังกล่าวได้ให้ที่อยู่ e-mail address ในการให้ผู้อ่านติดต่อ
สอบถามหรือไม่ หรือสามารถติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้หรือไม่
                        2.4 เว็บไซต์ดังกล่าวสามารถเชื่อมโยง (link) ไปยังเว็บไซต์อื่นที่อ้างถึง
ได้หรือไม่
                        2.5 เว็บไซต์ดังกล่าวมีการปรับปรุงข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง
หรือไม่
                        2.6 เว็บไซต์ดังกล่าว มีช่องทางให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น
                        2.7 เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์
                        2.8 เว็บไซต์ดังกล่าวควรมี การระบุข้อความว่า เป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือระบุแหล่งที่
ให้การสนับสนุนในการสร้างเว็บไซต์
                        2.9 เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์

 3. พิจารณาด้านเนื้อหาข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ที่น าเสนอ ได้แก่การใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ 8

                        3.1 ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวมีการบอกแหล่งที่มาของข้อมูลหรือมีการอ้างอิง
เนื้อหาที่น าเสนอบนเว็บไซต์หรือไม่
                        3.2 เนื้อหามีการระบุวันเวลาในการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์
                        3.3 เนื้อหาเว็บไซต์ไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรม
                        3.4 เนื้อหาข้อมูลสารสนเทศระบุวันเวลาในการปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุดหรือไม่
                        3.5 เนื้อหาดังกล่าวในข้อมูลสารสนเทศมีการระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์หรือไม่
                        3.6 คุณภาพของเนื้อหาสาระในการเขียนเนื้อหาข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ มี
ความถูกต้อง ประกอบด้วย 
                        3.7 เนื้อหาสารสนเทศบนเว็บไซต์ดังกล่าวไม่มีความลำเอียงในการนำเสนอสาระ 
หรือการแสดงความคิดเห็น โดยควรใช้ข้อเท็จจริงในการสนับสนุน

4. Virtual Field Trip คืออะไร
                          การศึกษานอกสถานที่เสมือนจริง  (Virtual Field Trip)   เป็นการจ าลองแบบสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงหรือสถานที่จริงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ท าให้ผู้เรียนได้เห็นจริงและเข้าใจง่าย

5. จงบอกความหมายของพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง  พร้อมยกตัวอย่างด้วยการทำ Link เว็บพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงมาคนละ 1 เว็บไซต์

                         พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual Museum) หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่
น าเสนอภาพสามมิติ เสมือนจริงที่ถูกแปลงเป็นตัวเลข ในเครื่องมือนี้อาจเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว 
ข้อมูลสารสนเทศต่างๆ โดยใช้กระบวนการอินเทอร์เน็ตในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เป็นข้อมูลออนไลน์ที่ดูซ้ าได้หลายครั้งเพื่อศึกษาค้นคว้า ตรวจสอบและส ารวจตรวจค้นได




6. จงบอกความหมายของเทคโนโลยี AR มีประโยชน์อย่างไรในการเป็นแหล่งการทรัพยากรการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
                     

                         เทคโนโลยีเสมือนจริง หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เทคโนโลยี AR” (Augmented Reality) เป็น
เทคโนโลยีที่ผสมผสานเอาโลกในความเป็นจริงและโลกเสมือนที่สร้างขึ้นมาผสานเข้าด้วยกันผ่านซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นการสร้างข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบบนโลกเสมือน (virtual world) เช่น ภาพกราฟิก วิดีโอ รูปทรงสามมิติ และข้อความ ตัวอักษร ให้ผนวกซ้อนทับกับภาพในโลกจริงที่ปรากฏบนกล้อง



********************************************







วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา


สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา


             สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ต้น ที่รัฐดำหนด ตามในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ประเภทพิพิธภัณฑ์ ในรูปของแหล่งการเรียนรู้ที่บุคคลสามารถจะเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายกว้างขวาง และมีมากพอเพียงที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นได้ ไม่ว่าการเรียนรู้นั้นเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการศึกษาในรูปแบบใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ หรือการศึกษาตามอัธยาศัย ก็เป็นแหล่งที่จะช่วยให้เกิดการ เรียนรู้ได้มากกว่าในขอบเขตของโรงเรียน 


            ภายในสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1 จัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เกี่ยวกับพระราชกรณีกิจทางด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และด้านวิทยาศาสตร์การประมง

ส่วนที่ 2  จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องราวของทะเล ระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล รวมทั้งความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ ดังมีรายละเอียดดังนี้
      
        1.  นิทรรศการเรื่องราวของอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล ให้ความรู้ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆที่อาศัยอยู่ในทะเล คือ 
                  -แพลงก์ตอนซึ่งมีบทบาทสำคัญของห่วงโซ่อาหารในทะเล สาหร่าย และหญ้าทะเล ฟองน้ำ     สัตว์ที่มีโพรงลำตัว เช่น ปะการัง ดอกไม้ทะเล แมงกะพรุน เป็นต้น 
                  -สัตว์จำพวกหนอนทะเล เช่น หนอนตัวแบนหนอนปล้อง หนอนริบบิ้น เป็นต้น สัตว์จำพวกหอย เช่น หอยฝาเดียว หอยฝาคู่ หมึก และหอยงวงช้าง เป็นต้น 
                  -สัตว์ที่มีข้อปล้องในทะเล เช่น ปู กุ้ง กั้ง และแมงดาทะเล เป็นต้น 
                  -สัตว์จำพวกคอร์เดทในทะเล เช่น เพรียงหัวหอม แอมฟิออกซัส และสัตว์ทะเลที่มีกระดูกสันหลัง ชนิดต่างๆ ได้แก่ ปลาทะเล โลมา พะยูน เต่าทะเล และจระเข้น้ำเค็ม รวมทั้งเรื่องราวของทะเล และสิ่งมีชีวิตในทะเลยุคดึกดำบรรพ์ เป็นต้น

        2. นิทรรศการเรื่องราวของทะเล และระบบนิเวศในทะเล ในส่วนนี้จะกล่าวถึงการแบ่งเขตของทะเล และระบบนิเวศต่างๆในทะเล รวมทั้งพืช และสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในแต่ละระบบนิเวศ โดยเริ่มตั้งแต่ ระบบนิเวศของป่าชายเลน ระบบนิเวศหาดหิน ระบบนิเวศหาดทราย และหาดโคลน ระบบนิเวศแนวปะการัง เป็นต้น

        3. นิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์  เป็นส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เช่น เป็นแหล่งทำการประมงโดยใช้เครื่องมือประมงทะเล เช่น โป๊ะ และเรือประมงทะเลชนิดต่างๆ เป็นเส้นทางค้าขาย และเดินทางติดต่อกันของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องพบกับอุปสรรคนานาประการจากคลื่น ลม และพายุ จนทำให้เรืออัปปางเกิดเป็นเรื่องราวของการขุดค้น และศึกษาโบราณคดีใต้น้ำเป็นต้น

         4. ห้องพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย และวิวัฒนาการของหอย ในห้องนี้จะจัดแสดงเกี่ยวกับเปลือกหอยที่พบในทะเลกลุ่มต่างๆ ได้แก่ ลิ่นทะเล หอยฝาเดียว หอยฝาคู่ หอยงวงช้าง และหอยงาช้าง เป็นต้น รวมทั้งนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับหอยแต่ละกลุ่ม วิวัฒนาการของหอยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการแบ่งกลุ่มของหอยที่มีอยู่ในโลก





 



ภูมิปัญญาท้องถิ่น ขนมเรไร


ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ขนมเรไร ร้านขนมคุณยาย ณ ตลาดเก่า 100 ปี อ่างศิลา
คุณรุตา เหลืองอ่อน



                   เป็นภูมิปัญญาประเภทบุคคล แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทบุคคล หมายถึง บุคคล
ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม มีผลงานได้รับการยกย่อง เป็นที่ยอมรับของสังคมซึ่งถือเป็นตัวอย่างต้นแบบกับ
บุคคลรุ่นหลังสืบ  ไปในหลายสาขาอาชีพ

นำไปใช้กับการเรียนรู้ในระบบโรงเรียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม บูรณาการกับวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี

ประวัติของการเริ่มทำขนม
            เนื่องจากสมัยก่อนคนในยุคนั้นทำขนมเพื่อรับประทานกันเองจนมีฝีมือ จึงได้ทำขายและสืบทอด
กันมา ดังเช่น ร้านขนมคุณยาย ที่คุณยายได้ทำขนมขายมาตั้งแต่ตอนสมัยสาว ๆ และสืบทอดมารุ่นต่อ
รุ่นจนถึงปัจจุบัน และขนมภายในร้านขนมของคุณยายมีขนมที่ขึ้นชื่อคือ ขนมเรไร (รังไร) และยังมีขนมที่
เป็นสินค้าระดับ OTOP คือขนมข้าวตู ข้าวตอก รวมทั้งยังมีขนมอื่น ๆ ให้ได้ลิ้มรสอีกมากมาย


ประวัติของร้านขนมคุณยาย

            ได้เปิดขายมาเป็นระยะเวลาประมาณ 30 ปี ตั้งแต่สมัยคุณยายยังสาวและสืบทอดมาจนถึง
ปัจจุบันรุ่นลูกสาวของคุณยายคือคุณ รุตา เหลืองอ่อน และในการตั้งชื่อร้านก็เกิดจากการเรียกติดปาก
ของลูกค้าประจำที่มาอุดหนุนขนมกับคุณยาย โดยเรียกว่า คุณยายจึงกลายเป็นชื่อร้านขนมคุณยาย
จนถึงปัจจุบันนี

ส่วนประกอบในการทำขนมเรไร 
-เส้นแป้งข้าวเจ้า
-มะพร้าวอ่อน
-กะทิ
-งาขาวคั่ว
-น้ำตาลทราย

วิธีการทำขนมเรไร (รังไร)
1.นำแป้งข้าวเจ้าที่นวดไว้เรียบร้อยแล้วมาใส่ไว้ในเครื่องพิมพ์เส้นแล้วกดให้ได้รูปร่างเป็นก้อนเส้นแป้ง
    ขนาดหย่อม ๆ พอดีคำ
2.นำก้อนเส้นแป้งที่ได้ไปนึ่งประมาณ 1-3 นาที
3.ช้อนก้อนเส้นแป้งที่นึ่งเรียบร้อยแล้วใส่จาน
4.ตักมะพร้าวอ่อน น้ำตาลทราย น้ำกะทิและงาขาวคั่วราดบนก้อนเส้นแป้งที่นึ่งแล้ว
5.จะได้หน้าขนมเรไร (รังไร) ที่น่ารับประทานหอม หวาน อร่อย




ขอบคุณร้านขนมคุณยาย    
ที่อยู่ บ้านเลขที่ 13 หมู่ 4 ต.อ่างศิลา อ.เมือง
 จ.ชลบุรี  20000 
 โทร 081-8070952 
เปิดบริการ ทุกวัน 09. 00 -17. 00 น



สำนักหอสมุด ม.บูรพา แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทอาคารสถานที่

สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยบูรพา


           สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นศูนย์บริการสารสนเทศ เพื่อการศึกษาค้นคว้าและวิจัย  พัฒนามาจากห้องอ่านหนังสือ ซึ่งเปิดบริการครั้งแรกเมื่อวันที่ กรกฎาคม 2498 พร้อมกับการจัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน และพัฒนาเป็น สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน และสำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา ตามพัฒนาการของมหาวิทยาลัย โดยลำดั

               สำนักหอสมุดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทอาคารสถานที่ เป็นสถานที่ให้ค้นคว้าหาความรู้มากมาย โดย แบ่งเป็นทั้งหมด 7 ชั้น ประกอบด้วยดังนี้

ชั้นที่ 1  เป็นห้องอาหาร มีโต๊ะ เก้าอี้ สำหรับเป็นที่นั่ง ผ่อนคลายอารมณ์ และอ่านหนังสือ
ชั้นที่ 2   สมัครสมาชิกห้องสมุด,ยืม – คืน หนังสือ, ฝึกอบรมการสืบค้นฐานข้อมูล OPAC และฐานข้อมูล               อิเล็กทรอนิกส์, ตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า, นำชมห้องสมุด,หนังสือภาษาต่าง                                   ประเทศ, Book Show Room
ชั้นที่ 3   หนังสือภาษาไทย ปี พ.ศ. 2541 –ปัจจุบัน นวนิยาย เรื่องสั้น
ชั้นที่ 4   วารสาร  หนังสือพิมพ์ สืบค้นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ 
ชั้นที่ 5   วิทยานิพนธ์  หนังสืออ้างอิง ห้องศึกษากลุ่ม ห้องศึกษาเดี่ยว
ชั้นที่ 6   มีชุดศึกษาเทป วีดิทัศน์  VCD/DVD อินเทอร์เน็ต และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต, มินิโฮมเธียเตอร์
ชั้นที่ 7   หนังสือพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี  , หนังสือภาษาไทย, หนังสือภาษาต่างประเทศ, หนังสือราชกิจจานุเบกษา







วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทบุคคล


แหล่งการเรียนรู้ประเภทบุคคล

ด้านอนุรักษ์และสืบสานพิณอีสาน


               ครู ทองใส ทับถนน เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2490 ที่บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ครูทองใส ทับถนนเริ่มฝึกดีดพิณเมื่ออายุ 4 ปี และเล่นพิณกับวงดนตรีอีสานสั่งสมประสมการณ์ในการเล่นพิณเรื่อยมา

               การทำงานนั้นครูทองใส ทับถนน ได้ยึดมั่นในคุณธรรม 4 ประการ ในการทำงานคือ ความเพียร ความอดทน มีน้ำใจ และมีความซื่อสัตย์สุจริต ตลอดทั้งมีหลักหารในการทำงานให้มีความสุขสนุกสนานกับเพื่อนร่วมงาน ผสมผสานชีวิตทำงานกับครอบครัว พัฒนางานฝีมืออยู่เสมอ และถ่ายทอดความรู้โดยไม่ปิดบัง
               ผล จากการสั่งสมประสมการณ์ในการเล่นพิณและให้ความช่วยเหลือสังคม ชุมชน ตลอดมาจึงทำให้ผลงานของครูทองใส ทับถนนเป็นที่ประจักษ์เรื่อยมาจนได้รับการประกาศเกียรติคุณ ดังนี้

ปี 2543 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินดีเด่นสาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีอีสาน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ
ปี 2544 ได้รับประกาศเกียรติคุณผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมวัฒนธรรมดีเด่น จากสำนักพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เขตการศึกษา 10
ปี 2545 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 2 ปี 2545
ปี 2548 ได้รับปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (ดนตรีศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี

รายการ ปราชญ์ เดินดิน ทางช่อง 9 อสมท.

แหล่งการเรียนรู้ประเภทบุคคล ครูทองใส ทับถนน

                ครูทองใส เป็นบุคคลที่อนุรักษ์และสืบสานการเล่นพิณอีสาน ซึ่งเป็นศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคอีสานที่มีคุณค่าแก่การอนุรักษ์และถ่ายถอดสู้รุ่นลุกหลาน เพื่อไม่ให้ศิลปวัฒนธรรมของอีสานสูญหายไม่มีคนมาสานต่อ ครูทองใสได้ถ่ายทอดความรู้การเล่นพิณให้กับผู้ที่สนใจอย่างไม่ปิดบังความรู้ ถือเป็นบุคคลที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ได้

ครูทองใส ทับถนน สอนลูกศิษย์




แหล่งข้อมูล
http://www.youtube.com/watch?v=1vlQ2LyOKd4 รายการปราชญ์เดินดิน ช่อง 9 อสมท.
http://esarnmusiccorner.blogspot.com/2010/05/blog-post_3178.html




แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทสื่อท้องถิ่น



ของเล่นท้องถิ่นจานบิน หรือใบพัด 






ชื่อของเล่น

จานบิน ใบพัด หรือ คอปเตอร์ไม้ไผ่ เป็นของเล่นพื้นบ้านของไทยที่สามารถทะยานขึ้นฟ้าได้ อีกหนึ่งในของเล่นชิ้นโปรดที่เด็ก มักจะพกพาออกไปเล่นในที่โล่งกว้าง


วัสดุและวิธีการผลิต

วัสดุ-อุปกรณ์
- ไม้ไผ่
- คัตเตอร์หรือมีด
- มีดอีโต้ (สำหรับผ่าไม้ไผ่)
- ไม้บรรทัด(สำหรับใช้วัด)
- ดินสอหรือปากาเคมี(สำหรับใช้ขีดรอยที่ไม้)

วิธีการผลิต
1. ตัดไม้ไผ่เป็นท่อนขนาดความกว้าง 1.5 เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตร หนา 2 เซนติเมตร แล้วเจาะรูตรงกลาง

2. ใช้มีดเหลา ปาดทั้งสองข้าง

3. เหลาไม้ให้กลมเล็ก ขนาดความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร สำหรับใส่เป็นแกนใบพัด

4. นำใบพัดประกอบเข้ากับแกนไม้ โดยการที่เจาะรูตรงกลางของใบพัด

5. ได้จานบินใบพัด หรือคอปเตอร์ไม้ไผ่ที่สมบูรณ์


ขั้นตอนและวิธีการเล่น

ใช้สองมือประสานที่แกนใบพัดแล้วปั่นไปข้างหน้า จานบินก็จะหมุนลอยขึ้นฟ้า หรือจะปั่นไปทางข้างทแยงขึ้น ทแยงลง ได้หลายทิศทาง


คุณประโยชน์จากของเล่น

· ของเล่นทำให้เด็กฝึกสมาธิและทำให้เด็กได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน

· ของเล่นพื้นบ้านจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี และมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ด้านต่างๆของเด็กๆ และที่สำคัญยังได้ร่วมอนุรักษ์สิ่งดีๆเหล่านี้ไว้ให้อยู่ในสังคมไทยของเราต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน

· ของเล่นที่ทำจากธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการเด็ก เด็กจะได้ใช้สมองและจินตนาการในการเล่น

· ของเล่นเป็นเสมือนเครื่องมือที่นำเด็กไปสู่การพัฒนาตนเองกับสิ่งแวดล้อม

· กระบวนการทำของเล่นไม่เพิ่มสารเคมีหรือสารพิษที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน และไม่เป็นอันตรายกับเด็กเพราะทำจากวัสดุธรรมชาติ

· ของเล่นช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสพื้นผิวที่หลากหลายทำให้เด็กรู้จักพื้นผิวที่แตกต่าง

· ของเล่นพื้นบ้านสามารถอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เด็กได้เนื่องจากมีการถ่ายทอดของเล่นมาจากรุ่นสู่รุ่น

· ของเล่นท้องถิ่นเป็นสื่อกลางในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนๆ ครอบครัวและชุมชนได้

· ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เนื่องจากประดิษฐ์ของเล่นเอง

· ส่วนมากของเล่นที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติมีความทนทาน ซ่อมและบำรุงรักษาได้ง่าย


วิธีการซ่อมและรักษา

ทำความสะอาดได้ด้วยการนำผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ด และนำไปตากแดดให้แห้ง ไม่ควรทำให้เปียกหรือเก็บไว้ในที่ชื้นจะทำให้ไม้ขึ้นรา
นำมาติดกาวตราช้างให้มีความทนทาน ควรระมัดระวังในการเล่น ไม่ควรเล่นอย่างรุนแรง
ถ้าหากเสียหายจริงๆ สามารถทำใหม่ได้



แหล่งข้อมูล
สุชานันท์. (2553). จานบินไม้ไผ่. วันที่ค้นข้อมูล 16 มิถุนายน 2556, เข้าถึงได้จาก http://khonglenthai.blogspot.com/2010/01/blog-post_17.html
โรงเรียนบ้านป่าแดด (เวทยาสมิทธ์). แนะนำของเล่นพื้นบ้าน.วันที่ค้นข้อมูล 16 มิถุนายน 2556, เข้าถึงได้ จาก http://www.padaetwettaya.ac.th/konglen/konglan2/o5.html